วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552
Shortcut Key ของ Windows
ปุ่ม Windows + D ย่อหน้าต่างที่เปิดอยู่ทั้งหมด
ปุ่ม Windows + E เปิด windows explorer
ปุ่ม Windows + F เปิด Search for files
ปุ่ม Windows + Ctrl+F เปิด Search for Computer
ปุ่ม Windows + F1 เปิด Help and Support Center
ปุ่ม Windows + R เปิดไดอะล็อคบ็อกซ์ RUN
ปุ่ม Windows + break เปิดไดอะล็อคบ็อกซ์ System Properties
ปุ่ม Windows +shift + M เรียกคืนหน้าต่างที่ถูกย่อลงไปทั้งหมด
ปุ่ม Windows + tab สลับไปยังปุ่มต่าง ๆ บน Taskbar
ปุ่ม Windows + U เปิด Utility Manager
ปุ่ม Windows +E เปิด windows Explorer
ปุ่ม Windows +M ย่อขนาดหน้าต่างทั้งหมดลงมาเพื่อให้เห็น Desktop
ปุ่ม Windows +Shift+M ทำให้หน้าต่างที่ย่อกลับสู่สภาพเดิม
ปุ่ม Windows +D ย่อ/ยกเลิก ขนาดหน้าต่างทั้งหมดลงมาเพื่อให้เห็น Desktop
ALT+Print Screen ใช้copy หน้าต่างที่เปิดล่าสุด ไปไว้ที่คลิปบอร์ด แล้วนำไปpaste ในที่ต่างๆได้
ปุ่ม Windows +F ค้นหาfile ใน Hardisk
ปุ่ม Ctrl+C Copy ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ข้อความ file ...
ปุ่ม Ctrl+V Paste ได้ทุกอย่าง
ปุ่ม Ctrl+X Cut ได้ทุกอย่าง
ปุ่ม Ctrl+Q ใช้ออกจากโปรแกรมใดๆ ก็ได้
ปุ่ม Alt+F ใช้เปิด file ในโปรแกรมต่างๆ
ปุ่ม Atl+TAB เลือกหน้าต่างอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้mouse
ปุ่ม Delete ใช้ลบสิ่งต่างๆ file ข้อความ
ปุ่ม Alt+Esc ใช้เลือกหน้าต่างที่เปิดไว้มากๆโดยวนไปรอบๆ
ปุ่ม Alt+F4 ปิดโปรแกรม / ปิด windows(shut down)
ปุ่ม shift + ลูกศร หรือ เมาส์ เป็นการเลือก(select) เพิ่มจากเดิม
ปุ่ม Ctrl + คลิ๊กเมาส์ เป็นการเลือก(select)file มากว่า1 โดยกดctrl ค้างไว้
ปุ่ม shift + shut down ( alt+F4) restart windows(ให้กดshiftค้างไว้)
ปุ่ม shift ค้างไว้ขณะใส่แผ่น Cd ยกเลิก autorun.
ปุ่ม “F” ต่างๆ ที่คุณพูดถึงมีชื่อเรียกว่า ปุ่มฟังก์ชัน (Function Keys) ซึ่งในอดีตโปรแกรมต่างๆ บนระบบปฏิบัติการ DOS จะใช้ปุ่มพวกนี้เป็นทางลัดในการเรียกฟังก์ชันการทำงานต่างๆ มากมาย แตกต่างกันไปตามลักษณะของโปรแกรม พวกมันช่วยให้การใช้งานโปรแกรมสะดวกรวดเร็วมาก ซึ่งในอดีตเรายังไม่มีเมาส์ให้ใช้กันอย่างทุกวันนี้ ทุกอย่างจึงต้องพึ่งคีย์บอร์ด จะว่าไปแล้ว ปุ่มฟังก์ชันก็เปรียบเสมือนทางลัดในการเข้าถึงฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ได้โดยตรง แทนที่จะต้องกดหลายๆ ปุ่ม เพียงเพื่อเข้าถึงฟังก์ชันใดฟังก์ชันหนึ่งของโปรแกรมนั่นเองมีหลายโปรแกรมอยู่เหมือนกันที่ยังคงใช้ปุ่มฟังก์ชันเหล่านี้ แต่ที่ใช้เหมือนกัน และพบเห็นบ่อยๆ ก็เช่น F1 สำหรับเรียก ส่วนช่วยเหลือ (Help) ในส่วนของการ Setup ก็ยังคงมีการใช้ฟังก์ชันคีย์พวกนี้ ในกรณีที่เมาส์ไม่ทำงาน สำหรับในกรณีของ Microsoft Word ที่คุณพูดถึงนั้น คุณสามารถใช้ปุ่มฟังก์ชันได้ทุกปุ่ม เพื่อการใช้งานคำสั่งพื้นฐานต่างๆ ซึ่งมีดังนี้
F1 - เรียก Help หรือ Office Assistant
F2 - ย้ายข้อความ หรือกราฟิกต่างๆ
F3 - แทรกข้อความอัตโนมัติ (AutoText)
F4 - ทำซ้ำสำหรับแอคชั่นการทำงานล่าสุดของผู้ใช้
F5 - เลือกคำสั่ง Go To (เมนู Edit)
F6 - กระโดดไปยังกรอบหน้าต่างถัดไป
F7 - เลือกคำสั่งตรวจสอบคำสะกด (Spelling ในเมนู Tools)
F8 - ขยายไฮไลต์ของการเลือกข้อความ
F9 - อัพเดตฟิลด์ต่างๆ ที่เลือก
F10 - กระโดดไปเมนูบาร์
F11 - กระโดดไปยังฟิลด์ถัดไป
F12 - เลือกคำสั่ง Save As (เมนู File)
ในการท่องเว็บบน IE
คำสั่ง /กด
เปิดหน้าต่างใหม่บนบราวเซอร์ : Ctrl + N
เรียกคำสั่ง Open เพื่อเปิดไปยังหน้าต่างเว็บไซต์อื่น : Ctrl + O หรือ Ctrl + L
ไปยัง Address bar : Alt + D
เพิ่ม www.และ.com เข้าไปและไปยังเว็บไซต์นั้น : Ctrl + Enter
เปิดเว็บไซต์ไม่ผ่านแคช หรือรีโหลดหน้าเว็บใหม่ : Ctrl + F5
หยุดการดาวน์โหลดหน้าเว็บ : Esc
เปิดหน้าต่างการค้นหา : Ctrl + F
เปิด - ปิด History bar : Ctrl + H
เปิด + ปิด การแสดงผลแบบเต็มหน้าจอ :D : F11
ไปข้างหน้าหรือย้อนกลับ : Alt + ลูกศรขวา หรือ Alt + ลูกศรซ้าย
ทุกโปรแกรมใน Office
คำสั่ง /กด
เปิดโปรแกรมตรวจคำผิด : F7เปิดหน้าต่าง
Save as : F2
ใน Word
เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปแบบตั้งต้น : Ctrl + Space
เพิ่มหรือลดบรรทัดบนย่อหน้าปัจจุบัน : Ctrl + 0
เพิ่มพื้นที่ว่างบนข้อความหรือย่อหน้าที่เลือก : Ctrl + 1
เพิ่มพื้นที่ว่าง 2 เท่าบนข้อความหรือย่อหน้าที่เลือก : Ctrl + 2
ตั้งให้ย่อหน้าหรือข้อความเพิ่มบรรทัด : Ctrl + 5
จัดย่อหน้าหรือข้อความแบบชิดซ้าย : Ctrl + L
จัดย่อหน้าหรือข้อความแบบกึ่งกลาง : Ctrl + E
จัดย่อหน้าหรือข้อความแบบชิดขวา : Ctrl + R
จัดย่อหน้าหรือข้อความแบบพอดี : Ctrl + J
แทรกวัน : Alt + Shift + D
แทรกเวลา : Alt + Shift + T
ใน Excel
คำสั่ง /กด
คำนอนซ้ำบนทุกหน้าเอกสาร : F9
คัดลอกสูตรจากเซลล์ข้างบน : Ctrl + ’
คัดลอกผลลัพธ์จากเซลล์ข้างบน : Ctrl + Shift + ’ หรือ Ctrl + ”
เปิดหน้าต่างการปรับรูปแบบเซลล์ : Ctrl + 1
แทรกวันที่ : Ctrl + ;แทรกเวลา : Ctrl + Shift + ; หรือ Ctrl + :เ
ลือกทั้งคอลัมน์ : Ctrl + Space
เลือกทั้งแถว : Shift + Space
รวม Hot Keys A-Z สำหรับ MS Office
CTRL + A = Select All เลือกทั้งหมด
CTRL + B = Bold ตัวหนา CTRL + C = Copy คัดลอก
CTRL + D = Font format กำหนดรูปแบบอักษร
CTRL + E = Center ตรงกลาง
CTRL + F = Find ค้นหา CTRL + G = Goto ไปที่
CTRL + H = Replace แทนที่
CTRL + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + J = Justify จัดชิดขอบ
CTRL + K = Insert Hyper Link แทรกการเชื่อมโยงหลายมิติ
CTRL + L = Left จัดชิดซ้าย
CTRL + M = Indent เพิ่มระยะเยื้อง
CTRL + N = New สร้างแฟ้มใหม่ CTRL + O = Open เปิดแฟ้มใหม่
CTRL + P = Print พิมพ์
CTRL + Q = Reset Paragraph ตั้งค่าย่อหน้าใหม่
CTRL + R = Right จัดชิดขวา
CTRL + S = Save จัดเก็บ (บันทึก)
CTRL + T = Tab (ตั้งระยะแท็บ) CTRL + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + V = Paste วาง
CTRL + W = Close ปิดแฟ้ม
CTRL + X = Cut ตัด
CTRL + Y = Redo or Repeat ทำซ้ำ
CTRL + Z = Undo ยกเลิกการกระทำครั้งล่าสุด
CTRL + SHIFT + A = All Caps ทำเป็นตัวใหญ่ทั้งหมด (สำหรับภาษาอังกฤษ)
CTRL + SHIFT + B = Bold ตัวหนา
CTRL + SHIFT + C = Copy Format คัดลอกรูปแบบ
CTRL + SHIFT + D = Double Underline ขีดเส้นใต้ 2 เส้น
CTRL + SHIFT + E = Revision Mark Toggle
สลับการทำเครื่องหมายรุ่นเอกสาร
CTRL + SHIFT + F = Fonts Name Select เลือกชื่อแบบอักษร
CTRL + SHIFT + G = Word count นับจำนวนคำ
CTRL + SHIFT + H = Hidden ซ่อน CTRL + SHIFT + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + SHIFT + J = Thai Justify จัดคำแบบไทย
CTRL + SHIFT + K = Small Caps ทำอักษรตัวพิมพ์เล็กให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่แบบเล็กๆ
CTRL + SHIFT + L = Apply List Bullet ใช้เครื่องหมายหน้าข้อ
CTRL + SHIFT + M = Unindent ลดระยะเยื้อง
CTRL + SHIFT + N = Normal Style ใช้ลักษณะแบบปกติ
CTRL + SHIFT + O = N/A CTRL + SHIFT + P = Font Size Select เลือกขนาดแบบอักษร
CTRL + SHIFT + Q = Symbol Font ใช้แบบอักษรสัญลักษณ์
CTRL + SHIFT + R = Recount Words นับคำใหม่
CTRL + SHIFT + S = Style กำหนดลักษณะ
CTRL + SHIFT + T = Unhang ไม่แขวนภาพ
CTRL + SHIFT + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + SHIFT + V = Paste Format วางรูปแบบ
CTRL + SHIFT + W = Word Underline ขีดเส้นใต้เฉพาะคำ
CTRL + SHIFT + X = N/A CTRL + SHIFT + Y = N/A CTRL + SHIFT + Z = Reset Character ตั้งค่าแบบอักษรใหม่
Special Keys
CTRL + < = Decrease Font size by step เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + > = Increase Font size by step ลดขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + [ = Decrease Font size by point เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + > = Increase Font size by point ลดขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + - = Optional Hyphen แทรกยัติภังค์
CTRL + _ = Non Breaking Hyphen แทรกยัติภังค์แบบไม่แบ่งคำ
CTRL + = = Sub Script ตัวห้อย
CTRL + + = Super Script ตัวยก
CTRL + \\ = Toggle Master sub document สลับไปมาระหว่างเอกสารหลักและเอกสารย่อย
CTRL + , = Prefix Keys กำหนดแป้นพิมพ์
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
แป้นพิมพ์ลัด (Hotkey) ของ Windows XP
* BACKSPACE (ดูโฟลเดอร์ย้อนขึ้นหนึ่งระดับใน My Computer หรือ Windows Explorer)
* ESC (ยกเลิกงานปัจจุบัน)
* CTRL+C (คัดลอก)
* CTRL+X (ตัด)
* CTRL+V (วาง)
* CTRL+Z (ยกเลิก)
* DELETE (ลบ)
* SHIFT+DELETE (ลบรายการที่เลือกอย่างถาวรโดยไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin)
* กดปุ่ม CTRL ขณะที่ลากรายการ (คัดลอกรายการที่เลือก)
* กดปุ่ม CTRL+SHIFT ขณะที่ลากรายการ (สร้างทางลัดไปยังรายการที่เลือก)
* ปุ่ม F2 (เปลี่ยนชื่อรายการที่เลือก)
* CTRL+ ลูกศรขวา (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำถัดไป)
* CTRL+ ลูกศรซ้าย (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำก่อนหน้า)
* CTRL+ ลูกศรลง (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าถัดไป)
* CTRL+ ลูกศรขึ้น (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าก่อนหน้าไป)
* CTRL+SHIFT พร้อมกับปุ่มลูกศรใดๆ (ไฮไลต์บล็อกข้อความ)
* CTRL+A (เลือกทั้งหมด) * ปุ่ม F3 (ค้นหาไฟล์หรือโฟลเดอร์)
*ALT+ENTER (ดูคุณสมบัติต่างๆ ของรายการที่เลือก) ALT+F4 (ปิดรายการที่ใช้งานอยู่ หรือปิดโปรแกรมที่ใช้งาน)
*ALT+ENTER (แสดงคุณสมบัติของออบเจกต์ที่เลือก)
*ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูทางลัดสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
* CTRL+F4 (ปิดเอกสารที่ใช้งานอยู่)
*ALT+TAB (สลับระหว่างรายการต่างๆ ที่เปิดอยู่)
*ALT+ESC (สลับไปยังรายการต่างๆ ตามลำดับที่เปิด)
*ปุ่ม F6 (สลับไปตามรายการอิลิเมนต์บนหน้าจอในหน้าต่างหรือบนเดสก์ทอป)
* ปุ่ม F4 (แสดงรายการแอดเดรสบาร์ใน My Computer หรือ Windows Explorer)
*SHIFT+F10 (แสดงเมนูทางลัดสำหรับรายการที่เลือก)
*ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูระบบสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
*CTRL+ESC (แสดงเมนู Start)
* ALT+อักษรขีดเส้นใต้ในชื่อเมนู (แสดงเมนูนั้นๆ)
* อักษรที่ขีดเส้นใต้ในชื่อคำสั่งบนเมนูที่เปิด (ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ)
* ปุ่ม F10 (เปิดแถบเมนูในโปรแกรมที่กำลังใช้งาน)
* ลูกศรขวา (เปิดเมนูถัดไปทางขวา หรือเปิดเมนูย่อย)
* ลูกศรซ้าย (เปิดเมนูถัดไปทางซ้าย หรือปิดเมนูย่อย)
* ปุ่ม F5 (อัปเดทหน้าต่าง)
* กดปุ่ม SHIFT ขณะที่ใส่แผ่นซีดีรอมลงในไดรฟ์ซีดีรอม (ยกเลิกการเล่นซีดีรอมอัตโนมัติ)
* CTRL+SHIFT+ESC (เปิด Task Manager)
การเลื่อนไปมาระหว่าง RECORD
TAB ย้ายไป Field ต่อไป
SHIFT+TAB ย้ายไป Field ก่อนหน้า
END ย้ายไป Field สุดท้าย
CTRL+END ย้ายไป Field สุดท้าย ของ RECORD สุดท้าย
HOME ย้ายไป Field แรก
CTRL+HOME ย้ายไป Field แรก และ Record แรก
CTRL+PAGE DOWN ย้ายไป Record ถัดไปที่ Field เดิม
CTRL+PAGE UP ย้ายไป Record ก่อนหน้าที่ Field เดิม
F6 ย้ายไปส่วนต่างๆของ FORM เช่น Header Detail ( ข้อมูล ) และ Footer
SHIFT+F6 คล้าย F6 แต่เป็นการย้ายกลับ
SHIFT+TAB เข้าไปใน SubForm
CTRL+TAB ออกจาก SubForm
การใช้งาน COMBO BOX
F4 or ALT+DOWN ARROW บังคับให้ Combo Box เปิด
F9 บังคับให้ข้อมูลใน Combo Box เปลี่ยนแปลงตามข้อมูลปัจจุบัน
DOWN ARROW ย้ายไปบรรทัดถัดไป
PAGE DOWN ย้ายไปหน้าถัดไป
UP ARROW ย้ายไปบรรทัดก่อนหน้า
PAGE UP ย้ายไปหน้าก่อนหน้า
TAB ออกจาก ComboBox
การบันทึก คัดลอก
CTRL+C Copy ข้อมูลที่กำลังเลือก แล้วเก็บไว้ใน clipboard
CTRL+X ลบข้อมูลที่กำลังเลือก แล้วเก็บไว้ใน clipboard ( Cut )
CTRL+V ย้ายข้อมูลที่คัดไว้ใน clipboard มา ( Paste )
BACKSPACE ลบข้อมูล ตัวก่อนหน้า
DEL ลบข้อมูล
การบันทึกแก้ไข
CTRL+Z or ALT+BACKSPACE Undo ( เรียกการแก้ไขครั้งสุดท้ายคืนมา )
ESC ยกเลิกการแก้ไขที่กำลังพิมพ์อยู่
CTRL+SEMICOLON (;) ใส่วันที่ปัจจุบัน
CTRL+COLON (:) ใส่เวลาปัจจุบัน
CTRL+ALT+SPACEBAR ใส่ค่า Default ของ Field
CTRL+APOSTROPHE (') คัดลอกข้อมูลจาก Record ก่อนหน้ามาลงใน Field ปัจจุบัน
CTRL+PLUS SIGN (+) เพิ่ม Record
CTRL+MINUS SIGN (-) ลบ Record ปัจจุบัน
SHIFT+ENTER Save Record ปัจจุบัน
SPACEBAR Switch ค่าใน checkbox
CTRL+ENTER ขึ้นบรรทัดใหม่
SHIFT+F9 บังคับให้มีการอ่านข้อมูลใหม่อีกครั้ง
F9 คำนวณค่าที่อยู่บนจอใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Pladao Office


Calc กระดาษคำนวณ โปรแกรมตารางคำนวณ (spreadsheet)
Impress การนำเสนอ โปรแกรมนำเสนองาน (presentation)
Draw วาดรูป โปรแกรมวาดภาพแบบเวกเตอร์ (drawing)

คุณสมบัติอันเยี่ยมยอดของโปรแกรมชุดปลาดาวก็คือ สามารถเปิดเอกสารเดิมที่ถูกบันทึกไว้ในรูปของ MS Office 6.0, 95, 97, 2000, XP ได้ โดยที่รูปแบบของเอกสารต่างๆ ยังคงเดิม ใช้ฟอนต์ภาษาไทยบนวินโดว์ได้เกือบทุกกลุ่ม และยังมีฟอนต์ไทยชนิด TrueType ของปลาดาวเองอีกจำนวน 5 ฟอนต์ (สามารถใช้ได้กับทุกระบบปฏิบัติการอีกด้วย)
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552
การเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์

CPU : ควรเลือกใช้ตามประเภทของงาน เช่น งานเอกสารทั่วไป เล่นเกม หรืองานทางด้านมัลติมีเดีย ซึ่งแต่ละงานจะต้องการความเร็ว ความละเอียดในการแสดงผลแตกต่างกัน เช่น
Intel Pentium : รุ่น Celeron ความเร็ว 400-500 MHz
- ถ้าใช้งานทั่วไปควรเลือกประเภท Inkjet ความละเอียดไม่ต่ำกว่า 1200 x1200 จุดต่อตารางนิ้ว สามารถพิมพ์เอกสาร รูปภาพขาวดำ และภาพสีได้ ต้องดูว่าเครื่องพิมพ์ Inkjet รุ่นนี้ใช้ตลับน้ำหมึกรุ่นไหน ตลับสีกับขาวดำราคาเท่าไหร่ เพื่อเปรียบเทียบราคาให้คุ้มค่ากับการใช้งาน
ควรเลือกหัวสแกนแบบ CCD ความละเอียด 1200 x1200 จุดต่อตารางนิ้วขึ้นไป สแกนเนอร์บางรุ่นสามารถสแกนแผ่นฟิล์ม แผ่นสไลด์ได้ แต่มีราคาแพงพอสมควร
ในปัจจุบันนิยมใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP, 2000
1. เรามีความต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้ทำอะไรให้เราบ้าง เช่น ใช้พิมพ์เอกสาร เล่นเกม ทำงานด้านกราฟิกส์ ท่องอินเทอร์เน็ต
2. ราคาเครื่อง ควรคำนึงถึงงบประมาณของเราหากใช้สำหรับงานทั่วไป ราคาจะไม่แพงมาก แต่หากต้องใช้ด้านกราฟิกส์ ต้องใช้สเป็คเครื่องที่สูง ราคาก็จะสูงตาม
3. เลือกดูตามศูนย์ไอที ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ขายเกี่ยวกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสำนักงาน สอบถามพนักงานขายแต่ละร้านเพื่อความเข้าใจที่ตรงกับความต้องการของเรา
4. สเป็คเครื่อง ควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสเป็คของเครื่องที่มีอยู่ในแผ่นพับ แผ่นปลิว ของแต่ละบริษัท ซึ่งจะมีความแตกต่างกันทางด้านยี่ห้อ รุ่น ขนาด ความเร็ว ความจุ หน่วยความจำ ของแถม
5. การบริการหลังการขาย ข้อนี้มีความสำคัญอย่างมาก หากเครื่องมีปัญหา และไม่มีบริการหลังการขาย เราจึงควรเลือกรูปแบบการบริการมีอยู่ 2 แบบคือ
5.1 การรับประกันสินค้าแบบรวมค่าแรง เมื่อเครื่องเสีย ทางร้านจะส่งช่างมารับไปซ่อมจนเสร็จ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่มียี่ห้อและราคาค่อนข้างสูง
5.2 การรับประกันแบบไม่รวมค่าแรง หากเครื่องเสีย เราต้องยกเครื่องไปซ่อมเอง ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่มีราคาถูก
6. ระยะเวลาในการรับประกันสินค้า จะขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชิ้น ปกติจะมีการรับประกัน 1 ปี แต่ถ้าเป็นเครื่องที่มียี่ห้อ มีราคาแพง อาจรับประกันถึง 3 ปี
7. รายละเอียดในการประกันชิ้นส่วนอุปกรณ์
7.1 ฮาร์ดดิสค์ (Harddisk) บริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจะรับประกัน 3 ปี ถ้าเสียหายภายใน 1 เดือนแรกทางบริษัทจะเปลี่ยนฮาร์ดดิสค์ใหม่ แต่ไม่รวมถึงฮาร์ดดิสก์ไหม้เพราะเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว หรือทำหล่นกระแทกอย่างรุนแรง
7.2 เมนบอร์ด (Mainboard) ส่วนใหญ่จะรับประกัน 1 ปี แต่ไม่รวมถึงไหม้เพราะเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว เสียบการ์ดต่าง ๆ ลงไปอย่างแรง ทำให้หักหรือสายวงจรขาด
7.3 ซีพียู (CPU) บริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจะรับประกัน 3 ปี
7.4 หน่วยความจำ (Ram) หากราคาแพงจัดอยู่ในเกรดที่ดีจะรับประกันตลอดอายุการใช้งาน แรมเกรดทั่วไปราคาจะถูกกว่ามาก รับประกันเพียง 1 ปี
7.5 ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk) หากมีราคาแพงรับประกัน 1 ปี ราคาถูกจะรับประกันเพียง 1 เดือน
7.6 ซีดีรอม (CD-ROM) รับประกันเพียง 1 ปี หากเสียหายหรือมีปัญหาใด ๆ ให้ส่งทางร้านภายใน 15 วัน ทางร้านจะเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
7.7 การ์ดจอและการ์ดเสียง (Video & Sound Card) รับประกัน 1 ปี ส่วนมากอุปกรณ์นี้มักไม่เสีย ควรตรวจเช็คว่าเสียบการ์ดแน่นดีหรือเปล่า
8. แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) รับประกัน 1 ปี ควรใช้ขนาด 250 W. เป็นอย่างต่ำ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาไฟไม่พอเมื่อต้องต่อพ่วงกับอุปกรณ์หลายชนิด
9. ความคุ้มค่า ควรใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อย่างคุ้มค่าสมราคา ไม่ควรเปิดทิ้งไว้หากไม่ได้ใช้ จะได้ช่วยประหยัดพลังงานของชาติได้อีกทางหนึ่ง
สเปคเครื่องคอมพิวเตอร์

Apple iMac
โปรเซสเซอร์และหน่วยความจำ
- โปรเซสเซอร์ Intel Core 2 Duo ความเร็ว 2.0GHz หรือ 2.4GHz สามารถสั่งพิเศษเป็นโปรเซสเซอร์ Intel Core 2 Extreme ความเร็ว 2.8GHz ได้
- แคชระดับ 2 สำหรับใช้ร่วมกันทั้ง 2 คอร์ความจุ 4MB ทำงานที่ความเร็วเดียวกับโปรเซสเซอร์
- บัสระบบความเร็ว 800MHz
- หน่วยความจำหลัก DDR2 PC2-5300 ความเร็ว 667MHz ความจุ 1GB บรรจุ SO-DIMM 1 แผง
- รองรับแผง SO-DIMM ได้ 2 แผง รวมความจุสูงสุด 4GB
ฮาร์ดไดร์ฟ
- รุ่น 20 นิ้ว 2.0GHz- ฮาร์ดไดร์ฟความจุ 250GB แบบ Serial ATA ความเร็ว 7200 RPM(1)
- สามารถเปลี่ยนเป็นฮาร์ดไดร์ฟความจุ 320GB แบบ Serial ATA ความเร็ว 7200 RPM ได้
- รุ่น 20 นิ้ว 2.4GHz- ฮาร์ดไดร์ฟความจุ 320GB แบบ Serial ATA ความเร็ว 7200 RPM(1)
- สามารถเปลี่ยนเป็นฮาร์ดไดร์ฟความจุ 500GB หรือ 750GB แบบ Serial ATA ความเร็ว 7200 RPM ได้
- รุ่น 24 นิ้ว 2.4GHz- ฮาร์ดไดร์ฟความจุ 320GB แบบ Serial ATA ความเร็ว 7200 RPM(1)
- สามารถเปลี่ยนเป็นฮาร์ดไดร์ฟความจุ 500GB, 750GB หรือ 1TB แบบ Serial ATA ความเร็ว 7200 RPM ได้
ออพติคัลไดร์ฟ
- SuperDrive (DVD±R DL/DVD±RW/CD-RW) ความเร็ว 8x แบบสล็อตโหลด
- เขียนแผ่น DVD+R DL และ DVD-R DL ได้เร็วสุด 4x
- เขียนแผ่น DVD-R และ DVD+R ได้เร็วสุด 8x
- เขียนแผ่น DVD-RW ได้เร็วสุด 6x และแผ่น DVD+RW ได้เร็วสุด 8x- อ่านแผ่น DVD ได้เร็วสุด 8x
- เขียนแผ่น CD-R ได้เร็วสุด 24x- เขียนแผ่น CD-RW ได้เร็วสุด 16x- อ่านแผ่น CD ได้เร็วสุด 24x
จอภาพ
- จอ glossy widescreen TFT active-matrix liquid crystal display ขนาด 20 นิ้ว (ใช้งานได้เต็มพื้นที่) และ 24 นิ้ว (ใช้งานได้เต็มพื้นที่)
- ความละเอียด
- 20 นิ้ว: 1680 คูณ 1050 จุด
- 24 นิ้ว: 1920 คูณ 1200 จุด
- แสดงสีได้ถึงระดับหลายล้านสีในทุกความละเอียด
- มุมมองสำหรับใช้งานปกติ
- รุ่น 20 นิ้ว แนวนอน 160°- แนวตั้ง 160°
- รุ่น 24 นิ้ว- แนวนอน 178°- แนวตั้ง 178°
- ความสว่างปกติ: 290 nits (รุ่น 20 นิ้ว); 380 nits (รุ่น 24 นิ้ว)
- อัตราส่วนคอนทราสต์ปกติ: 800:1 (รุ่น 20 นิ้ว); 750:1 (รุ่น 24 นิ้ว)
การติดต่อสื่อสาร
- มาพร้อมกับเครือข่ายไร้สาย AirPort Extreme (802.11n)(2)
- มาพร้อมกับโมดูลบลูทูธ 2.0+EDR (Enhanced Data Rate)
- มาพร้อมกับ Gigabit Ethernet มาตรฐาน 10/100/1000BASE-T (หัวต่อแบบ RJ-45)
- ใช้งานร่วมกับ Apple USB Modem 56K V.92 ได้ (แยกจำหน่าย)
กราฟิกและวิดีโอ
- รุ่น 20 นิ้ว 2.0GHz
- กราฟิกโปรเซสเซอร์ ATI Radeon HD 2400 XT
- หน่วยความจำ GDDR3 ความจุ 128MB
- รุ่น 20 และ 24 นิ้ว 2.4GHz
- กราฟิกโปรเซสเซอร์ ATI Radeon HD 2600 PRO
- หน่วยความจำ GDDR3 ความจุ 256MB
- พอร์ต mini-DVI สำหรับต่อจอ DVi, VGA, S-video และ composite ผ่านอะแดปเตอร์แปลงเฉพาะแบบ(3)
- มาพร้อมกับกล้อง iSight
- รองรับจอภายนอกสำหรับขยายพื้นที่ทำงาน
- ความละเอียดดิจิตอลสูงสุดที่ 1920 คูณ 1200 จุด
- ความละเอียดอนาล็อกสูงสุดที่ 2048 คูณ 1536 จุด
- รองรับจอภายนอกสำหรับ video mirroring mode
ความต้องการทางไฟฟ้าและสิ่งแวดล้อม
- ได้มาตรฐาน ENERGY STAR- ไฟฟ้ากระแสสลับ แรงดัน 100-240V
- ความถี่กระแสไฟ 50Hz ถึง 60Hz เฟสเดี่ยว
- กำลังไฟต่อเนื่องสูงสุด 200W (รุ่น 20 นิ้ว); 280W (รุ่น 24 นิ้ว)
- อุณหภูมิขณะใช้งานที่10 ถึง 35 องศาเซลเซียส- อุณหภูมิขณะเก็บรักษาที่ -40 ถึง 85 องศาเซลเซียส
- ความชื้นสัมพัทธ์ที่ 5% ถึง 95% ไม่ควบแน่น
- ความสูงขณะใช้งานสูงสุดที่ 10,000 ฟุต
ขนาดและน้ำหนัก (รุ่น 20 นิ้ว)
- สูง 18.5 นิ้ว/46.9 ซ.ม.
- กว้าง 19.1 นิ้ว/48.5 ซ.ม.- ลึก 7.4 นิ้ว/18.9 ซ.ม.
- หนัก 20 ปอนด์/9.1 ก.ก.(4)
ขนาดและน้ำหนัก (รุ่น 24 นิ้ว)
- สูง 20.5 นิ้ว/52.0 ซ.ม.
- กว้าง 22.4 นิ้ว/56.9 ซ.ม.- ลึก 8.1 นิ้ว/20.7 ซ.ม.
- หนัก 25.4 ปอนด์/11.5 ก.ก.(4)
การเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก
- พอร์ต FireWire 400 1 พอร์ตและ FireWire 800 1 พอร์ต
- พอร์ต USB 2.0 2 พอร์ตแบ่งเป็น 3 พอร์ตที่ตัวเครื่อง 2 พอร์ตที่คีย์บอร์ด
ระบบเสียง
- มาพร้อมกับลำโพงสเตอริโอ
- ชุดขยายเสียงดิจิตอลกำลังขับ 24W- มีช่องต่อเสียงออกแบบดิจิตอลและอนาล็อกสำหรับเสียบหูฟังในตัวเดียวกัน (มินิแจ็ค)
- มีช่องรับสัญญาณเสียงเข้าแบบดิจิตอลและอนาล็อกระดับไลน์ในตัวเดียวกัน (มินิแจ็ค)
- มาพร้อมกับไมโครโฟน
ซอฟแวร์
- Mac OS X รุ่น 10.4.10 Tiger (includes Spotlight, Dashboard, Mail, iChat AV, Safari, Address Book, QuickTime, iCal, DVD Player, Xcode Developer Tools)
- iLife ’08 (includes iTunes, iPhoto, iMovie, iDVD, iWeb, GarageBand)
- iWork ’08 (30-day trial)- Front Row- Photo Booth
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Bandwidth คือ
เป็นคำที่ใช้วัดความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ต ซึ่งโดยมากเรามักวัดความเร็วของการส่งข้อมูลเป็น bps (bit per second) , Mbp (bps*1000000) เช่น Bandwidth ของการใช้สายโทรศัพท์ในประเทศไทย เท่ากับ 14.4 Kbps,Bandwidth ของสายส่งข้อมูลของ KSC ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับอเมริกาเท่ากับ 2 Mbps เป็นต้น แต่ก่อนที่เราจะเข้าสู่บทความมารู้จักก่อนว่าอะไรคือ Bandwidth และ Latency ความหมาย Bandwidth คือ ความกว้างของช่องทางในการรับ-ส่งข้อมูล ส่วน Latency คือ เวลาที่ใช้ไปในการเข้าถึงข้อมูลของหน่วยความจำ เมื่อเรารู้ความหมายกันแล้วคราวนี้เรามารู้จักถึงหลักการต่างๆ ของ Bandwidth และ Latency ในการพิจารณาการรับ-ส่งข้อมูลบนระบบบัสหลายคนมักจะนึกถึง Bus Bandwidth (Bandwidth ก็คือความกว้างของเส้นทางในการส่งข้อมูล ที่เราสามารถเปรียบเทียบได้กับเลนถนน ยิ่งมีเลนกว้างเท่าไรรถยนต์ซึ่งเปรียบได้กับข้อมูลก็สามารถวิ่งได้สะดวกมากขึ้นเท่านั้น) ที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลที่รับ-ส่งบนระบบบัส Bus Bandwidth ด้วยปริมาณจำนวนข้อมูลของเลข single number (0 หรือ 1) ที่ระบบบัสสามารถรองรับได้ แต่ปริมาณข้อมูลของเลข single number อาจแปรผันได้ตามเวลา เราจึงพิจารณาการรับ-ส่งข้อมูลผ่านทาง Bus Bandwidth ด้วย Peak bandwidth Bus หรือ ความกว้างสูงสุดในการรับ-ส่งข้อมูลของบัส ซึ่งวัดด้วยจำนวนข้อมูลสูงสุดที่ รับ-ส่งกันระหว่างซีพียูและแรมภายในหนึ่งคาบเวล จากความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียูจากรูปที่ 1 ถ้าเรามาคำนวณหา Bandwidth ของบัสที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียู ที่สัญญาณนาฬิกา 100 เมกะเฮิรตซ์ โดยที่มีการรับ-ส่งข้อมูลจำนวน 8 ไบต์ในแต่ละหนึ่งรอบของสัญญาณนาฬิกา จะคำนวณออกมาได้ดังนี้ 8 bytes * 100MHz = 800 MB/s และถ้าหากเราคำนวณหา Bandwidth ของบัสที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียูที่ 133 เมกะเฮิรตซ์ โดยที่มีการรับ-ส่งข้อมูลจำนวน 8 ไบต์ในแต่ละหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา จะคำนวณออกมาได้ดังนี้ 8 bytes * 133MHz = 1064 MB/s ซึ่งตัวเลข Bandwidth ที่ได้นี้เป็นพียงตัวเลขทางทฤษฎีที่บอกถึงปริมาณของข้อมูลที่เข้าสู่ซีพียูในแต่ละวินาที ในความเป็นจริง Bandwidth ของระบบจริงอาจมีค่าน้อยกว่าที่คำนวณเพียงเล็กน้อย Bandwidth ในทางปฏิบัติ ระบบบัสที่ผ่านมาจะมีลักษณะการส่งผ่านข้อมูลแบบทางเดียว จึงทำให้ไม่สามารถรับและส่งข้อมูลในเวลาเดียวกัน จึงต้องผลัดกันส่งและรับข้อมูลทำให้ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลช้า เปรียบเทียบระบบบัสได้กับการสื่อสารผ่านทางวิทยุรับส่งโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายพูดอีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้รับฟัง เนื่องจากต้องผลัดกันรับส่งข้อมูลดังนั้นเมื่อซีพียูต้องการร้องข้อมูลจากหน่วยความจำหลัก (RAM) ซีพียูจะต้องร้องขอผ่านทาง Bus Control จากนั้น Bus Control จะร้องขอข้อมูลมาที่หน่วยความจำหลัก (RAM) เมื่อค้นหาข้อมูลที่ซีพียูต้องการได้แล้ว หน่วยความจำหลักจะส่งต่อข้อมูลให้ Bus Control กลับไปให้ซีพียู โดยทั้งหมดนี้กระทำบนบัสเดียวกัน ถ้าพิจารณาเวลาที่สูญเสียไปจากการร้องขอข้อมูลจาก Bus Control และที่ต้องเสียเวลารอหน่วยความจำหลักค้นหาข้อมูลที่ซีพียูต้องการแล้วจึงส่งข้อมูลที่ต้องการกลับไปสู่ Bus Control และส่งกลับไปสู่ซีพียูได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็น Delay Time ที่มีผลต่อค่า Read Latency โดยที่ Read Latency หมายถึง เวลาที่ใช้ระหว่างการร้องขอข้อมูลจากซีพียูผ่านทาง Frontside Bus (FSB) สรุป ทฤษฎีของ Bandwidth นั้นได้ว่า ถ้าระบบบัสมี Bandwidth ที่กว้างก็ยิ่งจะดีต่อการรับ-ส่งข้อมูล
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
แรม

หน่วยความจำที่ใช้งานส่วนใหญ่และมีปริมาณความจุสูงได้แก่ พวก RAM ด้วยเทคโนโลยี RAM ที่ใช้มีการแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่มคือ สแตติกแรม และไดนามิกส์แรม
สแตติกแรม (Static RAM - SRAM) เป็หน่วยความจำที่ใช้สถานะทางวงจรไฟฟ้าเป็นที่เก็บข้อมูล โดยวงจรเล็ก ๆ แต่ละวงจรจะเก็บข้อมูล "0" "1" และคงสถานะไว้จนกว่าจะมีการสั่งเปลี่ยนแปลง
ไดนามิกส์แรม (DRAM-Dynamic RAM) เป็นหน่วยความจำที่ใช้หลักการบรรจุประจุลงในหน่วยเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่เหมือนตัวเก็บประจุ แต่เป็นจากตัวเก็บประจุไฟฟ้าเล็ก ๆ นี้ ทำจากสารกึ่งตัวนำที่มีคุณสมบัติคงค่าแรงดันไว้ได้ชั่วขณะ จึงต้องมีกลไกการรีเฟรชหรือทำให้ค่าคงอยู่ได้
จุดเด่นของ DRAM คือ มีความหนาแน่นต่อชิพสูงมากเมื่อเทียบกับ SRAM ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้เพราะมีราคาถูกกว่ามาก อย่างไรก็ดีการเชื่อมต่อเข้ากับวงจรคอมพิวเตอร์ของ DRAM มีข้อยุ่งยากมากกว่า SRAM